ผักติ้ว หรือ ผักแต้ว?
ผักติ้ว บางคนอาจเรียกว่า ผักแต้ว แล้วยังมีอีกหลายชื่อที่เรียกกัน เช่น ติ้วขน ติ้วส้ม แต้วหอม หรือแต้วหิน คนส่วนใหญ่นิยมนำใบมากินเป็นผักแกล้ม ให้รสชาติเปรี้ยว ปนฝาด ทั้งกินกับพริก ลาบ หรือแหนมเนือง ใส่แดงเลียง แกงส้ม หรือต้มยำ
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ติ้ว พบมากในป่าเบญจพรรณแถบภาคอีสาน ชื่อสามัญ : ติ้วแต้ว ติ้วขน ติ้วเกลี้ยง ร้าเง็ง (สุรินทร์; บุรีรัมย์) ; กุยฉ่องเฉ้า (กะเหรี่ยง) ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cratoxylum formosum วงศ์ : CLUSIACEAE
ผักติ้ว เป็นไมยืนต้น ขนาดเล็ก ทรงสวย ลำต้นตั้งตรง โคนลำต้นมีหนามขนาดใหญ่ ทนทาน ให้ร่มเงาดี เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวๆ ใบไม่ร่วงง่าย เวลาออกดอกจะทิ้งใบหมดต้น เหลือแต่ดอกสีชมพูอ่อน ติดตามปลายกิ่งเป็นรกระจุก มองดูคล้ายๆต้นซากุระญี่ปุ่น มี 2 พันธุ์ คือ ดอกสีขาวกับดอกสียมพู ซึ่งดอกสีชมพูจะมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ใบจะมีขนนุ่มๆ ขมกว่าชนิดดอกสีขาว ยอดและใบอ่อนสีส้มอมชมพูสวยงามมองเห็นแต่ไกล เรือนยอดเป็นพุ่มกลม
เปลือกต้นสีน้ำตาลอมเทา เมื่อแก่จะแตกเป็นสะเก็ดร่องๆ ถ้ามีแผลจะมียางสีเหลืองปนแดงซึมออกมา ใบรูปไข่ ยาประมาณ 3-12 เซนติเมตร
ดอกของผักติ้ว มีกลีบดอก 5 กลีบ เกสรตัวเมียติดกัน 3 ก้าน และมีเกสรตัวผู้สั้นๆล้อมรอบ ผลมีลักษณะคล้ายแคปซูนสีน้ำตาลหรือสีน้ำ ยาวประมาณ 1.3-1.8 เซนติเมตร เมื่อผลแตกจะเป็น 3 แฉก เมล็ดภายในสีน้ำตาลปนดำ อกดอกได้ตลอดปี แต่จะดกเป็นพิเศษในหน้าแห้งเดือนมีนาคม – พฤษภาคม
ยอดอ่อน ใบอ่อน ช่อดอกสด นิยมใช้เป็นอาหาร ทานกับป่นหรือน้ำพริก แกล้มกับเมนูลาบ ก้อย น้ำตก แจ่ว มีรสเปรี้ยว ทางเวียดนามใช้เมนูในแหนมเนือง และยังมีรสเปรี้ยวใช้แทนมะนาวในบางเมนู เช่น แกงเห็ด แกงปลาย่าง แกงปลาใส่ไข่มดแดง แกงส้ม ขนมจีนน้ำยา นอกจากนี้ยังใช้ผัดใส่ไข่เจียว หรือกับผัดกับผักอื่นๆซึ่งให้คุณประโยชน์ด้านเส้นใยอาหารและวิตามิน
ในด้านโภชนาการ พบว่าผักติ้ว 100 กรัม มีเส้นใยอาการ 1.4 กรัม มีแคลเซียม 67 มิลลิกรัม ลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะกระดูกพรุน มีไนอะซิน 3.1 มิลลิกรัม มีบทบาท มีบทบาทต่อกระบวนการเผาผลาญสารอาหารและการทำงานของระบบประสาท วิตามินซี 56 มิลลิกรัม ช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็กและช่วยให้แผลหายเร็ว ผักติ้วยังมีเบตาแคโรทีนและวิตามินเออยู่สูง ช่วยต้านอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายต่อร่างกายและบำรุงสายตา
ขณะเดียวกัน มีผลงานวิจัยของนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ระบุว่า “ผักติ้ว” มีฤทธิ์หยุดยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งตับได้ นอกจากนี้ ยังมีผลวิจัยอีกชิ้น ยืนยันว่า ผักติ้ว มีสารต้านอนุมูลอิสระเรียกว่า “กรดคลอโรเจนนิค” ในปริมาณสูง ทำหน้าที่ป้องกันการทำลายดีเอ็นเออีกด้วย และผลงานวิจัยชิ้นต่อมาเป็นของนิสิตโครงการปริญญาเอก กาญจนาภิเษก (คปก.) คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้นำยอดอ่อนของ “ผักติ้ว” ไปเข้ากระบวนการสกัดผสมกับ “เอทานอล” จนได้สารสกัดธรรมชาติจากผักติ้ว เรียกว่า “คอลโรจินิกแอซิก” ที่มีคุณสมบัติ ยับยั้งกลิ่นได้ แสดงให้เห็นว่า ผักติ้วมีคุณประโยชน์ที่น่าทึ่งอย่างมาก
สรรพคุณของต้นแต้ว
– เปลือก น้ำต้มเปลือกกินแก้ธาตุพิการ และเปลือกใช้ทำสีย้อมผ้า แก่นใช้แช่น้ำดื่ม แก้เลือดไหลไม่หยุด
– น้ำยาง ยางจากเปลือกต้นทาแก้คัน และใช้ทาแก้รอยแตกของส้นเท้า ใช้ทาสมานแผล
– ราก แก้อาการปวดท้อง ผสมกับหัวแห้วหมูและรากปลาไหลเผือก ต้มดื่มน้ำวันละ 3 ครั้ง แก้ปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสวะไม่อยู่
– รากและใบ ใช้แก้ปวดท้อง ต้มผสมกับน้ำมันมะพร้าวทาแก้โรคผิวหนังบางชนิด
การขยายพันธุ์ มี 2 วิธี
– การเพาะเมล็ด นำเมล็ดที่แก่จัดมาตากแดดให้แห้งจนเมล็ดแตกออก แล้วนำไปหว่านในแปลเพาะ รดน้ำให้ชุ่มอยู่เสมอ ประมาณ 60 วัน เมื่อต้นกล้าเริ่มมีใบจริงประมาณ 2-3 ใบ นำลงถุงเพาะ รดน้ำใส่ปุ๋ยจนได้ต้นกล้าที่แข็งแรงก่อนนำไปปลูก
– การตอนกิ่ง สกัดรากไปชำ และขุดล้อมขาย นิยมปลูกไว้ริมรั้วบ้าน ป้องกันไม่ให้โรดและแมลงมากวนใจ เพราะเป็นไม้ป่าทนทานทั้งแดดและฝน ใส่ปุ๋ยคอกเดือนละครั้ง ยิ่งเด็ดยอดบ่อยยิ่งแตกไว
เมื่อรู้ประโยชน์และการขยายพันธุ์ต้นติ้วกันแล้ว อย่าลืมหามาปลูกไว้เป็นผักประจำบ้าน หรือปลูก เป็นอาชีพเสริมสร้างรายได้ หมั่นเด็ดยอดเป็นประจำจะทำให้แตกยอดอ่อนเก็บขายได้ตลอดปี